วันศุกร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2561

ภูมิปัญญาไทยและวัฒนธรรมไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น


        1.การฟื้นฟูความเจริญรุ่งเรืองสมัยรัตนโกสินทร์ให้เทียบเท่ากรุงศรีอยุธยา รัชกาลที่ 1-3 ทรงมีพระราโชบายที่จะสร้างกรุงเทพฯ ราชธานีแห่งใหม่ให้ใหญ่โตสวยงามเช่นเดียวกับกรุงเก่า เพื่อธำรงรักษาศิลปวัฒนธรรมดั้งเดิมของไทยให้เป็นมรดกแก่คนรุ่นหลัง
1.1การสร้างพระราชวังและวัดวาอารามได้ยึดถือตามแบบอย่างสถาปัตยกรรมในสมัยอยุธยาใช้แผนผังพระราชวังหลวงของกรุงศรีอยุธยาเป็นหลัก
1.2ประเพณีการสร้างวัดในเขตพระบรมมหาราชวัง คือ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ทำนองเดียวกับวัดพระศรีสรรเพชญ์ที่กรุงศรีฯ ใช้ประกอบพระราชพิธีทางศาสนา โดยไม่มีพระสงฆ์ จำพรรษา



        2.การฟื้นฟูพระราชพิธีต่างๆที่เคยมีมาในสมัยอยุธยา ที่สำคัญ ได้แก่ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชพิธีโสกันต์ (โกนจุก) พระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา พระราชพิธีพืชมงคล พระราชพิธีตรียังปวาย (โล้ชิงช้า) และพระราชพิธีวิสาขบูชา เป็นต้น

        3.งานสถาปัตยกรรม มีความเจริญรุ่งเรืองสวยงามประณีตเสมอกับสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้แก่ 
3.1พระบรมมหาราชวัง และวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
3.2วัดประจำองค์พระมหากษัตริย์ ได้แก่ วัดพระเชตุพนฯ (รัชกาลที่ 1) วัดอรุณราชวราราม (รัชกาลที่ 2) และวัดราชโอรสฯ(รัชกาลที่ 3)
        4.งานศิลปกรรมแขนงอื่นๆ เป็นผลงานของ”ช่างสิบหมู่” เช่น เครื่องราชูปโภคขององค์พระมหากษัตริย์ เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ ราชรถ ตู้พระไตรปิฏกลายรดน้ำ และเครื่องถ้วยชามเบญจรงค์ ฯลฯ

        5.งานจิตกรรม งานจิตรกรรมสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ยังคงเลียนแบบสมัยอยุธยา ดังจะเห็นได้จากภาพวาดในพระอุโบสถหรือพระวิหารของวัดวาอารามต่างๆ ซึ่งมักเป็นภาพเทพชุมนุม ภาพพุทธประวัติ หรือ ทศชาติชาดก เป็นต้น 
5.1 งานจิตกรรมมีความเจริญรุ่งเรืองมากที่สุดในสมัยรัชกาลที่ 3 มีผลงานปรากฏอยู่มาก แต่จะมีอิทธิพลของศิลปะจีนแทรกเข้ามา เนื่องจากมีการค้าขายติดต่อกับจีนตลอดรัชกาล
5.2 จิตรกรเอกสมัยรัชกาลที่ 3 คือ หลวงวิจิตรเจษฎา (ครูทองอยู่) และ คงแป๊ะ (ครูคง) มีผลงานปรากฎที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม วัดอรุณราชวราราม วัดสุทัศน์เทพวรารามปละวัดบางยี่ขัน

        6. นาฏศิลป์และดนตรีไทย มีความเจริญรุ่งเรืองมากในสมัยรัชกาลที่ 2 เพราะ ทรงเป็นกวีและศิลปิน จึงทรงพระทัยให้การทะนุบำรุงอย่างจริงจัง

        7. งานส่งเสริมวรรรณกรรม ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ราชสำนักมีฐานะเป็นศูนย์กลางชุมนุมวรรณกรรมและกวี มีทั้งองค์พระมหากษัตริย์ เจ้านาย และกวีสามัญชน เช่น รัชกาลที่ 2 และสุนทรภู่ เป็นต้น ซึ่งมีผลงานทั้งบทละคร เสภา นิราศ กาพย์ และกลอน

         บุคคลสำคัญที่มีบทบาทในการสร้างสรรค์ภูมิปัญญาไทยและวัฒนธรรมสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น


 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
          พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช  ทรงมีพระนามเดิมว่า  "ด้วง"  หรือ  "ทองด้วง"  เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันพุธที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2279  เข้าถวายตัวเป็นมหาดเล็กในเจ้าฟ้าอุทุมพร  กรมขุนพรพินิต  ต่อมาได้เข้ารับราชการในรัชกาลพระเจ้าเอกทัศ  ตำแหน่งหลวงยกกระบัตรประจำเมืองราชบุรี  และปฏิบัติราชการที่เมืองราชบุรีจนกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าเมื่อ พ.ศ. 2310  ในสมัยสมเด็จพระเจ้าตามสินมหาราช  หลวงยกกระบัตรได้รับราชการอย่างแข็งขันและมีพระปรีชาสามารถโดยเฉพาะด้านการสงคราม
          พระราชกรณียกิจสำคัญที่มีต่อการสร้างสรรค์ชาติไทยสามารถสรุปได้ดังนี้
                    1.  ด้านการเมืองการปกครอง  
                              1.1)  ทรงสถาปนาราชวงศ์จักรีและกรุงรัตนโกสินทร์ให้เป็นราชธานีแห่งใหม่  โดยทรงย้ายราชธานีจากกรุงธนบุรีมาอยู่ที่กรุงเทพมหานคร
                              1.2)  โปรดเกล้า ฯ ให้ชำระกฎหมายให้ถูกต้องยุติธรรม  เรียกว่า  "กฎหมายตราสามดวง"  เพราะประทับตราสำคัญ 3 ดวง  ได้แก่  ตราราชสีห์ของสมุหนายก  ตราคชสีห์ของสมุหพระกลาโหม  และตราบัวแก้วของกรมท่า
                              1.3)  ทรงให้ขุดคลองรอบกรุง  เช่น  คลองบางลำพูทางตะวันออก  คลองโอ่งอ่างทางใต้  ทำให้กรุงรัตนโกสินทร์เป็นเหมือนเกาะที่มีแม่น้ำล้อมรอบเหมือกับกรุงศรีอยุธยา  รวมทั้งสร้างกำแพงพระนครและป้อมปราการไว้โดยรอบ  ปัจจุบันคงเหลือเพียงป้อมพระสุเมรุและป้อมปราการไว้โดยรอบ  ปัจจุบันคงเหลือเพียงป้อมพระสุเมรุ  และป้อมมหากาฬที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ
                              1.4)  ทรงเป็นจอมทัพในการทำสงครามกับรัฐเพื่อนบ้าน  สงครามครั้งสำคัญ  คือ  สงครามเก้าทัพกับพม่า
                    
                    2.  ด้านเศรษฐกิจ
                              2.1)  ในตอนต้นรัชกาลที่ 1  เศรษฐกิจยังไม่ดีเพราะมีการทำสงครามกับพม่าหลายครั้ง  การติดต่อค้าขายกับต่างประเทศก็ลดลงมาก  แต่ในปลายรัชกาลบ้านเมืองปลอดภัยจากสงคราม  ทำให้ประชาชนมีเวลาประกอบอาชีพ  ส่วนการค้าขายกับจีนเพิ่มมากขึ้น  ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น  มีเงินใช้จ่ายในการทำนุบำรุงบ้านเมือง  สร้างพระนคร  สร้างและบูรณปฏิสังขรณ์วัด  รวมทั้งสั่งซื้อและสร้างอาวุธเพื่อใช้ป้องกันพระราชอาณาเขต  ทำให้บ้านเมืองและราษฎรเกิดความมั่นคงและมั่งคั่ง
                    
                    3.  ด้านสังคมและวัฒนธรรม                              3.1)  โปรดเกล้า ฯ  ให้สร้างพระราชวังและวัดให้มีรูปแบบเหมือนสมัยอยุธยา  เพื่อสร้างขวัญกำลังใจแก่ราษฎรให้เสมือนอยู่ในสมัยอยุธยาเมื่อครั้งบ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง  เช่น  โปรดเกล้า ฯ  ให้ลอกแบบพระที่นั่งสรรเพชญ์ปราสาทขึ้นมาใหม่  และพระราชทานนามว่า  "พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท"  รวมทั้งโปรดเกล้า ฯ ให้สร้างวัดพระศรีรัตนศาสดารามหรือวัดพระแก้วไว้ในเขตพระบรมมหาราชวังเพื่อใช้ในการประกอบพิธีทางพระพุทธศาสนาเช่นเดียวกับวัดพระศรีสรรเพชญ์ในสมัยอยุธยา
                              3.2)  ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา  ด้วยการออกแบบกฎหมายคณะสงฆ์เพื่อให้พระสงฆ์อยู่ในพระธรรมวินัย  โปรดเกล้า ฯ ให้มีการสังคายนาพระไตรปิฏกให้มีความถูกต้องสมบูรณ์  โปรดเกล้า ฯ ให้สร้างวัดและบูรณปฏิสังขรณ์วัดวาอารามต่าง ๆ  เช่น  วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์)  วัดสุทัศนเทพวราราม  วัดสระเกศ  วัดระฆังโฆสิตาราม  วัดสุวรรณดารารามตลอดจนบูรณปฏิสังขรณ์พระพุทธรูปที่ถูกทิ้งร้างตามหัวเมืองต่าง ๆ แล้วนำมาประดิษฐานไว้ตามวัดวาอารามที่สร้างขึ้นใหม่  เช่น  อัญเชิญพระศรีศากยมุนี  จากวิหารหลวงวัดมหาธาตุ  จังหวัดสุโขทัย  มาประดิษฐานที่วัดสุทัศนเทพวราราม  เป็นต้น
                              3.3)  ทรงฟื้นฟูพระราชพิธีและประเพณีสำคัญสมัยอยุธยา  เช่น  จัดให้มีพระราชพิธีบรมราชาภิเษกและพระราชพิธีสมโภชพระนคร  แสดงให้เห็นถึงความมั่นคงของการกอบกู้ราชธานีขึ้นมาใหม่  เป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้กับราษฎรและเป็นการรักษาพระราชพิธีโบราณ
                              3.4)  ทรงส่งเสริมงานวรรณกรรม  โดยพระราชนิพนธ์วรรณคดีหลายเรื่อง  เช่น  รามเกียรติ์  เพลงยาวรบพม่าที่ท่าดินแดง  โปรดเกล้า ฯ ให้แปลหนังสือจีนเป็นภาษาไทย  เช่น  สามก๊ก  ราชาธิราช  แปลโดยเจ้าพระยาพระคลัง (หน)  ซึ่งวรรณคดีเหล่านี้ยังเป็นที่นิยมมาถึงปัจจุบัน

ที่มาและได้รับอนุญาตจาก : 
ศิริพร ดาบเพชร  คมคาย มากบัว และประจักษ์ แป๊ะสกุล.ประวัติศาสตร์ไทย ม.4-ม.6. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ : อักษรเจริญทัศน์.

พระบาทสมเด็จพระบรมราชพงศ์เชษมเหศวรสุนทร พระพุทธเลิศหล้านภาลัย 
       (24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2310-21 กรกฎาคม พ.ศ. 2367 ครองราชย์ 7 กันยายนพ.ศ. 2352 - 21 กรกฎาคมพ.ศ. 2367พระมหากษัตริย์ไทยพระองค์ที่ 2 ในราชวงศ์จักรี มีพระนามเดิมว่า ฉิม (สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร) เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 4 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เสวยราชสมบัติ เมื่อปีมะเส็ง ปีพ.ศ. 2352 - 2367 ขณะมีพระชนมายุได้ 42 พรรษา
พระราชสมภพ  เมื่อ วันพุธ ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 4 ปีกุน เวลาเช้า 5 ยาม ซึ่งตรงกับวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 
พ.ศ. 2310 

พระนามเต็ม

พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยมีพระนามเต็มเมื่อขึ้นครองราชย์ว่า พระบาทสมเด็จพระบรมราชาธิราชรามาธิบดี ศรีสินทรบรมมหาจักรพรรดิราชาธิบดินทร์ ธรณินทราธิราช รัตนากาศภาสกรวงศ์ องค์ปรมาธิเบศ ตรีภูวเนตรวรนายก ดิลกรัตนราชชาติอาชาวศรัย สมุทัยดโรมนต์ สากลจักรวาฬาธิเบนทร สุริเยนทราธิบดินทร์ หริหรินทรา ธาดาธิบดี ศรีวิบูลยคุณอกนิษฐ ฤทธิราเมศวรมหันต บรมธรรมิกราชาธิราชเดโชชัย พรหมเทพาดิเทพนฤบดินทร์ ภูมิทรปรมาธิเบศ โลกเชษฐวิสุทธิ รัตนมกุฎประกาศ คตามหาพุทธางกูรบรมบพิตร พระพุทธเจ้าอยู่หัว ซึ่งเหมือนกับพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทุกตัวอักษร เนื่องจากในเวลานั้น ยังไม่มีธรรมเนียม ที่จะต้องมีพระปรมาภิไธยแตกต่างกันในแต่ละพระองค์
ต่อมาพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้ออกพระนามรัชกาลที่ 2 ว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าสุลาลัย ตามนามของพระพุทธรูปที่ทรงโปรดให้สร้างอุทิศถวาย[1] และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้เฉลิมพระปรมาภิไธยใหม่เป็นพระบาทสมเด็จพระบรมราชพงศ์เชษมเหศวรสุนทร พระพุทธเลิศหล้านภาลัย
ครองราชสมบัติ
มื่อถึงวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2352 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเสด็จสวรรคตด้วยพระโรคชรา ขณะมีพระชนมายุได้ 73 พรรษา นับเวลาในการเสด็จครองราชย์ได้นานถึง 27 ปี สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร กรมพระราชวังบวรสถานมงคล จึงได้เสด็จขึ้นทรงราชย์สืบพระราชสันตติวงศ์เป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่ 2 แห่งราชวงศ์จักรี
การพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในรัชกาลที่ 2 ได้ย้ายมาทำพิธีที่หมู่พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน เนื่องจากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทซึ่งสร้างขึ้นแทนพระที่นั่งอมรินทราภิเษกมหาปราสาทอันเป็นสถานที่ทำพิธีปราบดาภิเษกของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกนั้นใช้เป็นสถานที่ประดิษฐานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกอยู่ ในรัชกาลต่อ ๆ มาจึงใช้หมู่พระที่นั่งจักรพรรดิพิมานเป็นสถานที่จัดการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกและใช้พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทเป็นสถานที่ตั้งพระบรมศพ หลังจากเสร็จพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระองค์จึงเสด็จเลียบพระนครโดยกระบวนพยุหยาตราตามโบราณราชประเพณี
พระราชกรณียกิจ                 
  ด้านการเมืองการปกครอง  
         ทรงตรากฎหมายห้ามสูบซื้อขายฝิ่นใน พ.ศ. 2354  และ พ.ศ. 2362  โดยกำหนดบทลงโทษแก่ผู้สูบฝิ่นไว้อย่างหนัก
        ทรงปรับปรุงกฎหมายพระราชกำหนดสักเลกเมื่อ พ.ศ. 2353  เพื่อเรียกเกณฑ์ไพร่พลเข้ารับราชการ  โดยลดเวลาให้ไพร่มารับราชการเพียง 3 เดือน  ทำให้ไพร่มีเวลาทำมาหากินส่วนตัวมากขึ้น
              
 ด้านสังคมและวัฒนธรรม        โปรดเกล้า ฯ ให้มีการบูรณปฏิสังขรณ์วัดแจ้งด้วยการสถาปนาโบสถ์และวิหารใหม่  เสริมพระปรางค์องค์เดิมให้ใหญ่ขึ้น  และพระราชทานนามใหม่ว่า  "วัดอรุณราชวราราม"  ทรงให้แปลบทสวดมนต์จากภาษาบาลีเป็นภาษาไทย  เพื่อให้คนทั่วไปเข้าใจคำสอนต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น
       ทรงฟื้นฟูพระราชพิธีวิสาขบูชาขึ้นมาใหม่เมื่อ พ.ศ. 2360  ตามที่เคยปฏิบัติกันมาในสมัยสุโขทัย
                   
 ด้านศิลปกรรมและวรรณกรรม
      ทรงปรับปรุงท่ารำต่าง ๆ ทั้งโขนและละคร  ซึ่งกลายเป็นต้นแบบมาถึงปัจจุบัน  ทรงประพันธ์เพลง  "บุหลันลอยเลื่อน"  หรือ  "บุหลันลอยฟ้า"
      ทรงพระราชนิพนธ์วรรณกรรมมากมาย  เช่น  ขุนช้าง  ขุนแผน  คาวี  สังข์ทอง  ไกรทอง  อิเหน  ทรงแกะสลักบานประตูวิหารพระศรีศากยมุนี  ที่วัดสุทัศนเทพวราราม  ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ  พระนคร
 เสด็จสวรรคต
       พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงพระประชวรด้วยโรคพิษไข้ ทรงไม่รู้สึกพระองค์เป็นเวลา 8 วัน พระอาการประชวรก็ได้ทรุดลงตามลำดับ และเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2367 สิริรวมพระชนมพรรษาได้ 57 พรรษา และครองราชย์สมบัติได้ 15 ปี

พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระราชประวัติ
        พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระนามเดิมว่า ทับ” ทรงเป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และเจ้าจอมมารดาเรียม (ต่อมาทรงได้รับการเฉลิมพระอิสริยศักดิ์เป็น กรมสมเด็จพระศรีสุลาลัย) เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พุทธศักราช 2330 เมื่อแรกประสูติทรงดำรงพระยศเป็น “หม่อมเจ้าด้วยเวลานั้นพระราชบิดายังทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น เจ้าฟ้าต่างกรม และพระราชมารดาเป็นเพียงสามัญชน จนเมื่อสมเด็จพระราชบิดาได้รับการสถาปนาเป็นที่กรมพระราชวังบวรสถานมงคล หรือตำแหน่งพระมหาอุปราชแล้ว พระราชโอรสและพระราชธิดาที่ประสูติแต่เจ้าจอมมารดา จึงได้เลื่อนพระยศขึ้นเป็น พระองค์เจ้า” ทุกพระองค์  ต่อมาในปีพุทธศักราช 2356ภายหลังจากที่พระราชบิดาเสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติแล้ว จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนา พระองค์เจ้าทับ ขึ้นเป็นเจ้าฟ้าต่างกรม ทรงพระนามตามพระสุพรรณบัฎว่า สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์
         
พระราชกรณียกิจที่สำคัญ

พระองค์ทรงปกครองประเทศด้วยพระปรีชาสามารถ ทรงเสริมสร้างกำลังป้องกันราชอาณาจักร โปรดให้สร้างป้อมปราการตามปากแม่น้ำสำคัญ และหัวเมืองชายทะเล

การคมนาคม

       ใน รัชสมัยของพระองค์ใช้ทางน้ำเป็นสำคัญ ทั้งในการสงครามและการค้าขาย คลองจึงมีความสำคัญมากในการย่นระยะทางจากเมืองหนึ่งไปอีกเมืองหนึ่ง จึงโปรดฯให้มีการขุดคลองขึ้น เช่น คลองบางขุนเทียน คลองบางขนาก และ คลองหมาหอน 

การทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา

         พระองค์ทรง เลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก และได้ทรงสร้างพระพุทธรูปมากมายเช่น พระประธานในอุโบสถวัดสุทัศน์ วัดเฉลิมพระเกียรติ วัดปรินายกและวัดนางนอง ทรงสร้างวัดใหม่ขึ้น 3 วัด คือ วัดบวรนิเวศวิหาร วัดเทพธิดารามและวัดราชนัดดาราม ทรงบูรณะปฏิสังขรณ์ วัดเก่าอีก 35 วัด เช่น วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ซึ่งสร้างมาแต่รัชกาลที่ 1 วัดอรุณราชวราราม วัดราชโอรสาราม เป็นต้น

การศึกษา

          ทรงทำนุบำรุง และ สนับสนุนการศึกษา โปรดเกล้าฯ ให้กรมหลวงวงศาธิราชสนิท แต่งตำราเรียนภาษาไทยขึ้นเล่มหนึ่งคือ หนังสือจินดามณ โปรดเกล้าฯ ให้ผู้รู้นำตำราต่างๆ มาจารึกลงในศิลาตามศาลารอบพุทธาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ปั้นตึ้งไว้ตามเขามอและเขียนไว้ตามฝาผนังต่างๆ มีทั้งอักษรศาสตร์ แพทย์ศาสตร์ พุทธศาสตร์ โบราณคดี ฯลฯ เพื่อเป็นการเผยแพร่วิชาการสาขาต่างๆ จึงอาจกล่าวได้ว่า วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของกรุงสยาม

ด้านความเป็นอยู่

         พระองค์ ทรงเอาพระทัยใส่ดูแลทุกข์สุขของราษฎร ด้วยมีพระบรมราชวินิจฉัยว่า ไม่ทรงสามารถจะบำบัดทุกข์ให้ราษฎรได้ หากไม่เสด็จออกนอกพระราชวัง เพราะราษฎรจะร้องถวายฏกาได้ต่อเมื่อพระคลังเวลาเสด็จออกนอกพระราชวังเท่า นั้น จึงโปรดให้นำกลองวินิจฉัยเภรีออกตั้ง ณ ทิมดาบกรมวัง ในพระบรมมหาราชวัง เพื่อราษฎรผู้มีทุกข์จะได้ตีกลองร้องถวายฏีกาไปทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย เพื่อให้มีการชำระความกันต่อไป โดยพระองค์จะคอยซักถามอยู่เนื่องๆ ทำให้ตุลาการ ผู้ทำการพิพากษาไม่อาจพลิกแพลงคดีเป็นอื่นได้ในรัชสมัยของพระองค์ได้มีศาสนาจารย์และนายแพทย์ชาวอเมริกันและอังกฤษเดินทาง เข้ามาเผยแพร่คริสต์ศาสนาเพิ่มมากขึ้น หนึ่งในจำนวนนี้คือศาสนาจารย์ แดน บีช บรัดเลย์ เอ็ม.ดี. หรือที่คนไทยรู้จักกันดีในนามของ หมอบรัดเลย ได้เป็นผู้ริเริ่มให้มีการปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษ และการฉีดวัคซีนป้องกันอหิวาตกโรคและการทำผ่าตัดขึ้นเป็นครั้งแรกในกรุงรัตน โกสินทร์ นอกจากนี้หมอบรัดเลย์ยังได้คิดตัวพิมพ์อักษรไทยขึ้น (ปี พ.ศ. 2379) ทำให้มีการพิมพ์หนังสือภาษาไทยเป็นครั้งแรกโดยพิมพ์คำสอนศาสนาคริสต์เป็น ภาษาไทย เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2339 ต่อมาปี พ.ศ. 2385 หมอบรัดเลย์พิมพ์ปฏิทินภาษาไทยขึ้นเป็นครั้งแรกในด้านการหนังสือพิมพ์ฉบับแรกในสมัยรัชกาลที่ 3 หมอบรัดเลยได้ออกหนังสือพิมพ์แถลงข่าวรายปักษ์เป็นภาษาไทย ชื่อ บางกอกรีคอร์เดอร์ (Bangkok Recorder) มีเรื่องสารคด ข่าวราชการ ข่าวการค้า ข่าวเบ็ดเตล็ด ฉบับแรกออกเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2387 หนังสือบทกลอนเล่มแรกที่พิมพ์ขายและผู้เขียนได้รับค่าลิขสิทธิ์คือ นิราศลอนดอน ของหม่อมราโชทัย (ม.ร.ว. กระต่าย อิสรางกูร) โดย หมอบรัดเลย์ ซื้อกรรมสิทธิ์ไปพิมพ์ในราคา 400 บาท เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2404 และตีพิมพ์จำหน่ายครั้งแรกเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2404


พระเจ้าบรมวงศ์เธอ  กรมหลวงวงษาธิราชสนิท
          พระเจ้าบรมวงศ์เธอ  กรมหลวงวงษาธิราชสนิท  (พ.ศ. 2351 - 2414)  มีพระนามเดิมว่า  "พระองค์เจ้านวม"  ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยกับเจ้าจอมมารดาปรางใหญ่  และเป็นต้นราชสกุลสนิทวงศ์  ทรงมีความรู้ทาง
ด้านการแพทย์แผนไทย  ทรงกำกับกรมหมอและทรงมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาการต่างประเทศและการศึกษา
          ในวาระแห่งวันคล้ายวันประสูติครบ 200 ปีของพระองค์  องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติหรือยูเนสโก (UNESCO)  ได้ประกาศยกย่องให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงวงษาธิราชสนิททรงเป็นบุคคลสำคัญของโลกในสาขา
ปราชญ์และกวี  (Scholar and Poet)  ประจำปี พ.ศ. 2551 - 2552  และเป็นบุคคลที่มีผลงานด้านการศึกษาและวรรณกรรม  การแพทย์และการสาธารณสุข  และการต่างประเทศ
          พระราชกรณียกิจสำคัญที่มีต่อการสร้างสรรค์ชาติไทยสามารถสรุปได้ดังนี้
                    1.  ด้านการเมืองการปกครอง  
                              พระเจ้าบรมวงศ์เธอ  กรมหลวงวงศาธิราชสนิททรงมีความคุ้นเคยกับวัฒนธรรมตะวันตกและชาวตะวันตกเป็นอย่างดี  พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการฝ่ายไทยร่วมกับกลุ่มขุนนางตระกูลบุนนาคในการเจรจาทำสนธิสัญญากับชาติตะวันตก  ที่สำคัญได้แก่  สนธิสัญญาเบาว์ริง  ทรงดำเนินนโยบายทางการทูตด้วยความประนีประนอมและผ่อนปรน  ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศดำเนินไปด้วยดี
                    
                    2.  ด้านการแพทย์
                              พระเจ้าบรมวงศ์เธอ  กรมหลวงวงศาธิราชสนิททรงนิพนธ์  "ตำราสรรพคุณยาของกรมหลวงวงษาธิราชสนิท  เล่ม 1 และเล่ม 2"  นับเป็นตำราสมุนไพรไทยเล่มแรกของไทยที่มีการจำแนกสรรพคุณของสมุนไพรตามแบบวิทยาศาสตร์การแพทย์ตะวันตก  ทรงเรียนรู้ในวิชาการแพทย์แผนตะวันตก  ทรงเป็นแพทย์ไทยพระองค์แรกที่ได้รับการถวายประกาศนียบัตรและทรงได้รับการทูลเชิญให้เป็นสมาชิกของสถาบันการแพทย์แห่งนิวยอร์ก  ประเทศสหรัฐอเมริกา
                    
                    3.  ด้านวรรณกรรม                              พระเจ้าบรมวงศ์เธอ  กรมหลวงวงศาธิราชสนิททรงมีพระปรีชาสามารถในการประพันธ์โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน พระนิพนธ์มีหลากหลายรูปแบบทั้งสาระและการบันเทิง  เช่น  หนังสือแบบเรียนจินดามณี  เล่ม 2  และงานตรวจสอบชำระเรื่องพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา  เรื่องนิราศพระประธม  เพลงยาวสามชาย  ตำราเพลงยาวกลบท  สิงโตาเล่นหาง  โคลงภาพฤาษีดัดตน  เป็นต้น

หมอบรัดเลย์ 
           หรือ แดน บีช แบรดลีย์ (Dan Beach Bradley, M.D.) หรือบางคนเขียนเป็น หมอบรัดเลหมอปลัดเล หมอปรัดเล หรือ หมอปรัดเลย์ เป็นนายแพทย์ชาวอเมริกันที่เข้ามาเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในประเทศไทยสมัยรัชกาลที่ 3 และยังเป็นผู้เริ่มต้นการพิมพ์อักษรไทยในประเทศไทยเป็นครั้งแรก และทำการผ่าตัดในประเทศไทยเป็นครั้งแรก
แดน บีช บรัดเลย์ เป็นชาวเมืองมาร์เซลลัส (Marcellus) เกิดเมื่อ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2347 บุตรคนที่ห้าของนายแดน บรัดเลย์และนางยูนิช บีช บรัดเลย์ สำเร็จการแพทย์จาก มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก สมรสกับภรรยาคนแรก เอมิลี รอยส์ บรัดเลย์ และภรรยาคนที่สอง ซาราห์ แบลคลี บรัดเลย์ 
          คนไทยกับคนอเมริกันได้พบเห็นหน้าอย่างเป็นทางการครั้งแรกเมื่อในรัชกาลที่ ๓ ในครั้งนั้นประธานาธิบดีแย็กสัน (Andrew Jackson) ได้แต่งตั้งให้เอมินราบัดหรือ เอดมันด์ รอเบิต (Edmond Roberts) เป็นทูตขี่เรือกำปั่นเข้ามาทำหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีและการค้าขายเมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๕ (ภายหลังประเทศอังกฤษ) และต่อจากนั้น ๓ ปี หมอบรัดเลย์ก็นั่งเรือใบเข้ามา
     
       ผลงานสำคัญ
ในด้านการแพทย์ 

           -   เป็นผู้เริ่มต้นการแพทย์ตะวันตกในเมืองไทย 

ในเรื่องของการผ่าตัด ผ่าตัดเนื้องอกที่หน้าผากของชาวบ้านคนหนึ่ง 

           :  ตัดแขนคนไข้ที่บาดเจ็บ จากเหตุการณ์ปืนใหญ่ระเบิด
          -   รักษาโรคต้อกระจก และที่สำคัญที่สุด คือ
          -   การปลูกฝึ ป้องกันไข้ทรพิษ 
ในด้านการพิมพ์ 
หมอบรัดเลย์กระทำมาอย่างต่อเนื่อง นอกจากเรียบเรียงคัมภีร์ครรภ์ทรักษา 
          -   ให้ความรู้เรื่องการคลอด และ รณรงค์ให้เลิกอยู่ไฟ
          -    ๑๐ ปีแรกพิมพ์หนังสือเผยแพร่ศาสนา เป็นหนังสือเล่มแรกที่เกี่ยวข้องกับศาสนา เขียนเมื่อปี ค.๑๘๓๗ 

              เขียนเกี่ยวกับการสร้างโลกของพระเยซู


หมอบรัดเลย์กลับไปที่อเมริกานานถึง ๒ ปี และกลับมาเมืองไทยอีกครั้ง ครั้งนี้จึงทำธุรกิจโรงพิมพ์

(คณะ American Missionary Association A.M.A. )พิมพ์หนังสือ วรรณคดี ตัวอย่างเช่น

      -   สามก๊ก
-   นิราษเมืองลอนดอน
-   แบบเรียนจินดามณี
-   หนังสือพิมพ์ฉบับแรกของไทย คือ บางกอกรีคอเดอร์

สรุปผลงานที่ถูกจัดพิมพ์และจำหน่ายของหมอบรัดเลย์

      -    ตำราปลูกฝีโคหรือปลูกฝีดาษ เป็นหนังสือเล่มแรกที่เกี่ยวกับการแพทย์สมัยใหม่
-    คัมภีร์ครรภ์ทรักษา เป็นผลงานเกี่ยวกับการแพทย์เล่มที่สอง
-    หนังสืออักขราภิธานศรับท์ หนังสือเล่มนี้หมอบรัดเลย์ไม่ได้เป็นคนทำ แต่เป็นคนคิดให้ผู้ทำและจัดพิมพ์
-    นิราศเมืองลอนดอน เป็นหนังสือบทกลอนขนาดยาวเรื่องแรกที่หมอบรัดเลย์จัดพิมพ์จำหน่าย
         เป็นการบุกเบิกด้านวรรณกรรมให้แพร่หลายมากขึ้น และที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ เป็นครั้งแรกที่มีการซื้อขายลิขสิทธิ์วรรณกรรมไทย
-     สามก๊ก เป็นพงศาวดารจีนเรื่องแรกที่หมอบรัดเลย์พิมพ์จำหน่าย
-     พงศารดารฝรั่งเศส เป็นผลงานที่หมอบรัดเลย์แปลที่ถือว่ายาวที่สุด ทั้งที่ยังไม่จบ
-    ประถม ก กา แจกลูกอักษร แลจินดามนี กับ ประถมมาลา และประถมทานุกรม
-     หนังสือระยะทางเมืองลอนดอน
-    ตำราโหร
-     เรื่องพิชัยสงครามพม่า
-     หนังสือพระราชพงศาวดารกรุงเก่า
-     กฎหมาย ๒ เล่ม
-       ราชาธิราช

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น